วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560

ดอกบัว

บัวหลวง


บัวหลวง หรือ บัวหลวงอินเดีย =  เป็นพืชน้ำในสกุลบัวหลวง วงศ์บัว

สายพันธุ์ดอกบัวหลวง

1. บัวพันธุ์ดอกสีชมพู (บัวแหลมชมพู) มีชื่อว่า ปทุม ปัทมา โกกระนต หรือโกกนุต ดอกขนาดใหญ่ ดอกตูมเป็นรูปไข่ ปลายเรียวสีชมพู กลีบดอกชั้นนอกมี 4-5 กลีบ รูปไข่มีขนาดเล็ดเรียงตัวกัน 2 ชั้น ส่วนกลางของกลีบมีรูปร่างโค้งป่อง ตรงกลางสีชมพูอมเขียว ส่วนกลีบดอกชั้นกลางและชั้นในสีชมพูเข้ม โคนกลีบดอกสีขาวนวล มีประมาณ 13-14 กลีบ เรียงตัวเป็นชั้น ประมาณ 3 ชั้น อยู่โดยรอบฐานดอก กลีบชั้นนอกและชั้นในมีสีและรูปร่างคล้ายชั้นกลางแต่เล็กกว่ากลีบในชั้นกลาง
2. บัวหลวงพันธุ์ดอกสีขาว (บัวแหลมขาว) มีชื่อว่า บุณฑริกหรือปุณฑริก ดอกขนาดใหญ่เป็นรูปไข่ ปลายเรียว คล้ายบัวพันธุ์ปทุม ดอกมีสีขาวประกอบด้วยกลีบดอกชั้นนอกสีขาวอมเขียว ส่วนกลีบในชั้นกลางและชั้นในสีขาวปลายกลีบดอกสีชมพูเรื่อๆ รูปร่างของกลีบและการเรียงตัวของกลีบดอกคล้ายดอกบัวพันธุ์ปทุม
3. บัวหลวงชมพูซ้อน (บัวฉัตรชมพู) มีชื่อว่า สัตตบงกช ดอกมีขนาดใหญ่ ดอกตูมเป็นรูปไข่ทรงป้อม สีชมพู ประกอบด้วยกลีบนอกเป็นรูปรี มี 4-7 กลีบ กลีบเล็กเรียนซ้อนกันเป็นชั้น 2-3 ชั้น สีเขียวอมชมพู กลีบในสีชมพูตลอด ส่วนโคนกลีบที่ติดกับฐานรองดอกมีสีขาวอมเหลือง กลีบในมีประมาณ 12-16 กลีบ กลีบในชั้นนอกและชั้นในมีขนาดเล็กกว่าชั้นกลาง เป็นรูปไข่ที่มีส่วนกว้างอยู่ด้านบน เกสรตัวผู้ชั้นนอกๆ เป็นหมัน โดยมีก้านชูที่เป็นเกสรตัวผู้ที่เป็นแผ่นบางๆ สีชมพูคล้ายกลีบในแต่มีขนาดเล็กกว่า ไม่มีอับเรณู แต่ปลายกลีบมีส่วนยื่นออกมาที่มีฐานเรียวเล็ก ส่วนปลายพองใหญ่ มีสีขาวนวล

4. บัวหลวงขาวซ้อน (บัวฉัตรขาว) มีชื่อว่า สัตตบุตย์ ดอกมีขนาดใหญ่ ดอกตูมเป็นรูปไข่ทรงป้อม คล้ายบัวพันธุ์สัตตบงกช ดอกมีสีขาว ประกอบด้วยกลีบดอกสีเขียวอมขาว ส่วนกลีบชั้นในสีขาวตลอด ส่วนรูปทรงและการเรียงตัวของกลีบดอกคล้ายบัวพันธุ์สัตตบงกช

ดอกไม้ประจำจังหวัด

ดอกบัวหลวงเป็นดอกไม้ประจำจังหวัดปทุมธานี พิจิตร สุโขทัย และหนองบัวลำภู

อ้างอิง : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87


บัวสาย


บัวสาย (ชื่อวิทยาศาสตร์Nymphaea lotus) เป็นพืชน้ำชนิดหนึ่ง มีลำต้นใต้ดินเป็นหัว หรือเหง้า ลักษณะคล้ายหัวเผือก ใบเดี่ยวแตกจากเหง้า ก้านใบยาว อ่อน ส่งใบขึ้นมาลอยบนผิวน้ำ แผ่นใบค่อนข้างกลม ผิวใบด้านบนเรียบเป็นมัน ด้านล่างมีขนละเอียด ดอกเป็นดอกเดี่ยว ก้านดอกเหมือนก้านใบ ภายในมียางใสและท่ออากาศมาก ผลเรียกโตนดบัว รับประทานได้ มีแป้งมาก ก้านดอกเรียกสายบัว รับประทานได้

สายบัว : ผักพื้นบ้านจากแหล่งน้ำ
ในอดีตเมื่อปลายฤดูฝนประมาณเดือนตุลาคม น้ำก็จะเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมท้องทุ่งในเขตที่ ลุ่มภาคกลาง หลังจากนั้นพืชน้ำชนิดต่างๆก็จะงอกงามขึ้นมาเองมากมาย และหลายชนิดใช้เป็นผักได้ดีเช่นบัวสาย เป็นต้น ชาวบ้านจะพายเรือออกไปในทุ่งแล้วเลือกเก็บสายบัวจากดอกบัว จากดอกบัวที่ยังตูมอยู่ ออกแรงดึงเบา ๆ สายบัวก็หลุดจากเหง้า หากน้ำลึกก็จะได้สายบัวยาวจนต้องนำมาขดเป็นวงกลม ๆ คล้ายงู หากยังไม่ใช่ก็นำไปลอยน้ำเก็บไว้ได้หลายวัน โดยไม่แห้งเหี่ยวหรือเน่าเสีย

ประโยชน์ด้านอื่น ๆ จากบัวสาย
นอกจากใช้เป็นผักแล้ว บัวสายบังปลูกเป็นไม้ประดับได้ดีอีกด้วย เนื่องจากบัวสายมีหลายชนิด จึงมีหลายขนาด รูปร่างของใบและดอก แตกต่างกันไป โดยเฉพาะรูปทรงขนาด และสีของดอกมีมากมาย เพราะนอกจากมีหลากหลายตามธรรมชาติแล้ว ยังมีผู้นำมาผสมพันธุ์จนได้บัวสายที่งดงาม เหมาะสำหรับปลูกในอ่างบัวหรือกระถางเคลือบขนาดใหญ่ตั้งอยู่ในบริเวณบ้าน เป็นไม้ประดับที่ดียิ่งชนิดหนึ่งซึ่งดูแลรักษาไม่ยาก ราคาไม่แพง ยิ่งกว่านั้นก้านดอก(สายบัว) ยังนำมาทำอาหารได้อีกด้วย น่าที่ผู้อ่านจะลองหามาปลูกเอาไว้เป็นอาหารตา อาหารปาก และอาหารใจ เป็นเสมือนสายใยเชื่อมระหว่างคนกับธรรมชาติที่นับวันจะถูกดึงห่างออกจากกันยิ่งขึ้นทุกขณะ

อ้างอิง : https://www.doctor.or.th/article/detail/3874


บัววิกตอเรีย


บัววิกตอเรีย หรือ บัวกระด้ง (อังกฤษVictoria waterlily) เป็นบัวในสกุล Victoria จัดเป็นบัวที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลำต้นใต้ดินเป็นหัวใหญ่ ใบเป็นใบเดี่ยวขนาดใหญ่ประมาณ 6 ฟุต ลอยบนผิวน้ำ ใบอ่อนมีสีแดงคล้ำเมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม ขอบใบยกขึ้นตั้งตรง มีหนามแหลมตามก้านใบและผิวใบด้านล่าง ก้านดอกและกลีบเลี้ยงด้านนอกมีหนามแหลม ดอกเป็นดอกเดี่ยวขนาดใหญ่ ดอกแรกบานจะมีสีขาว จากนั้นจะเปลี่ยนเป็นสีขาวอมชมพู และเป็นสีแดงเรื่อในที่สุด บานเวลาใกล้ค่ำ หรือกลางคืน มีกลิ่นหอม และจะหุบในตอนสายของวันรุ่งขึ้น

สายพันธุ์  


  • บัววิกตอเรีย อมาโซนิกา (Victoria amazonica) เป็นสายพันธุ์หนึ่งของ บัววิกตอเรีย ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดมีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 3 เมตร ก้านบัวยาว 7-8 เมตร พบอยู่ทั่วไปตามหนองน้ำตื้น ๆ ของแม่น้ำอะเมซอน วันที่ออกดอกวันแรกจะมีสีขาว แต่พอเข้าวันที่สองจะเปลี่ยนเป็นสีชมพู[1]
  • บัววิกตอเรีย สายพันธุ์อังกฤษ (Victoria cruziana) เป็นสายพันธุ์ที่มีขนาดเล็กกว่า คือมีเส้นผ่านสูนย์กลางราว 1.5 เมตร แต่มีขอบกระด้งสูงราว 1 คืบ ออกดอกในช่วงปลายฤดูร้อนต่อต้นฤดูฝน คือ ในเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน
อ้างอิง : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2


บัวจงกลนี


ชื่อวิทยาศาสตร์:  Nymphaea lotus Linn.
ชื่อวงศ์:  Nymphaeaceae
ชื่อสามัญ:  Pink Double Wit Frilled Petals
ลักษณะทั่วไป:
    ต้น  เหมือนบัวทุกชนิดรวมกัน พืชน้ำ รากฝังโคลนเลน ก้านดอกอ่อนมีเปลือกลอกออกได้เป็นสายใย ผิวเกลี้ยงไม่มีหนาม
    ใบ  ใบลอยอยู่บนผิวน้ำ ขอบใบจักถี่ ห่าง ไม่มีระเบียบ ใบเหมือนบัวสาย
    ดอก  ดอกชูพ้นน้ำ บานกลางวัน กลีบดอกเล็กเรียว ซ้อนมาก ดอกลอยบานตลอดเวลา มีพันธุ์เดียว ดอกมีสีชมพูแล้วเปลี่ยนเป็นสีขาวและมีสีเขียวสลับเมื่อใกล้โรย
    ฝัก/ผล  เม็ด
    เมล็ด  สีดำอยู่ในเนื้อหุ้ม มีลักษณะเป็นวุ้นใส
การขยายพันธุ์:  เพาะเมล็ด หัว(เหง้า)ใต้ดิน
ถิ่นกำเนิด:  ไทย
ส่วนที่ใช้บริโภค:  ก้านใบลอกผิวที่หุ้ม ใช้รับประทานเป็นอาหาร
สรรพคุณทางยา: 
    –    ดอกบำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น บำรุงกำลัง แก้ร้อนใน เมล็ดบำรุงกำลัง
    –    หัว บำรุงครรภ์ บำรุงธาตุ
*บัวไทยแท้ตั้งแต่สมัยสุโขทัย มีที่ประเทศไทยแห่งเดียวในโลก

อ้างอิง : https://atilahc.wordpress.com/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%94%E0%B8%B9%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7/%E0%B8%AA%E0%B8%81%E0%B8%B8%E0%B8%A5%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%99%E0%B8%B5/


บัวเผื่อน



บัวเผื่อน เป็นพันธุ์ไม้น้ำคล้ายบัวสาย อายุหลายปี มีเหง้าและไหลอยู่ใต้ดิน และส่งใบดอกขึ้นมาบนผิวน้ำ บัวเผื่อนมีดอกให้ชมเกือบตลอดทั้งปี เริ่มบานตอนสายและหุบตอนบ่าย ออกดอกตลอดปี บัวเผื่อนมีชื่อพื้นเมืองอื่นว่า นิลุบล นิโลบล (กรุงเทพฯ) บัวผัน บัวขาบ (ภาคกลาง) ป้านสังก่อน (เชียงใหม่) และปาลีโป๊ะ (มลายู นราธิวาส)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ใบเป็นใบเดียวออกแบบเรียงสลับเป็นกลุ่ม แผ่นใบลอยบนผิวน้ำ ใบรูปไข่กว้าง ยาวประมาณ 10-25 ซม. กว้าง 8-18 ซม. ผิวใบเกลี้ยงหน้าใบสีเขียว ท้องใบสีเขียวอ่อนถึงสีม่วงจาง ปลายใบทู่ถึงกลมมน โคนใบเว้าลึก ฃอบใบเรียงถึงหยักตื้นๆ เส้นใบ 10-15 เส้น แยกจากจุดเชื่อมกับก้านใบ ก้านใบสั้นยาวไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำ ปกติยาว 0.5-2 เมตร
ดอกเป็นดอกเดี่ยว อยู่เหนือน้ำ มีสีขาวแกมชมพู ถึงอ่อนคราม กลิ่นหอมอ่อนๆ หากมีสีขาวแกมชมพูจะเรียกว่า บัวเผื่อนส่วนดอกสีครามอ่อนและมีขนาดใหญ่เรียกว่า บัวผันบางครั้งนักวิทยาศาสตร์แยกเป็น 2 ชนิด บางครั้งว่าเป็นชนิดเดียวกันแต่มี 2 พันธุ์ แต่ละดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-18 กลีบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองเป็นจำนวนมาก รังไข่มี 10-20 ช่อง ฝังตัวแน่นอยู่ใต้แผ่นรองรับเกสรตัวเมียรูปถ้วย ก้านดอกคล้ายก้านใบ และยาวไล่เลียกัน ผลจมอยู่ใต้น้ำหลังจากผสมเกสรแล้ว

การปลูกเลี้ยง
บัวเผื่อนพบขึ้นตามหนอง บึง ริมแม่น้ำที่มีกระแสน้ำอ่อนและขอบพรุ มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ขยายพันธุ์โดยการใช้หน่อหรือเหง้า

ประโยชน์ทางยา
ดอก รสฝาดหอมเย็น บำรุงหัวใจให้แช่มชื่น บำรุงกำลัง แก้ไขตัวร้อน แก้ไข้
บำรุงครรภ์
เมล็ด เมื่อฝักแก่ดอกร่วงหมดแล้วเรียกว่าโตนดบัวมีเมล็ดเล็กๆ คล้ายเมล็ดฝิ่น คั่วรับประทานเป็นอาหารได้ รสหอมมัน บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง
หัว ลักษณะเป็นหัวตะปุ่มตะป่ำ เหมือนโกฐหัวบัว รสหอมมัน เผ็ดเล็กน้อย บำรุงร่างกาย ชูกำลัง บำรุงครรภ์รักษา บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ
ในตำรายาไทย บัวเผื่อนอยู่ในพิกัดบัวพิเศษ มี 6 อย่างคือ บัวหลวงแดง บัวหลวงขาว บัวสัตตบงกชแดง บัวสัตตบงกชขาว บัวเผื่อน และบัวขม ใช้แก้ไข้ แก้ลม เสมหะ และโลหิต บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ ทำให้แช่มชื่น แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไข้ตัวร้อน บำรุงครรภ์ นอกจากนั้น ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ในตำรับยาหอมเทพจิตร มีดอกบัวเผื่อนเป็นส่วนผสมร่วมกับสมุนไพรอื่นๆอีกหลายชนิดในตำรับ มีสรรพคุณแก้ลมกองละเอียด ได้แก่ อาการหน้ามืด ตาลาย สวิงสวาย ใจสั่น และบำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น

อ้างอิง : https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9A%E0%B8%B1%E0%B8%A7%E0%B9%80%E0%B8%9C%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น